แหล่ธรรมมะ พระพร ภิรมย์ โดย คมสันต์ สุทนต์

แหล่ธรรมมะ พระพร ภิรมย์ โดย คมสันต์วรรณวัฒน์ สุทนต์

บทความนี้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจเขียนเพื่อน้อมบูชาคุณ หลวงพ่อพร ภิรมย์ ผู้เป็นศิลปินชั้นครูผู้เปี่ยมด้วยธรรมมะ สาระโลกและสาระธรรมใดๆ หากยังประโยชน์แก่ผู้อ่าน ขอจงเป็นบุญบริสุทธิ์ส่งตรงไปถึงทิพยญาณ หลวงพ่อพร ภิรมย์ ศิลปินแห่งธรรมะ(ชาติ) นั่นแล

กำหนดการพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ และเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อพร ภิรมย์ วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม เวลา 17.00 น.


ดาวลูกไก่ในปฐมวัย...โอ้ชีวิตคิดไฉน ใครหนอใครลิขิต

ผมคุ้นเคยกับเสียงเพลงของหลวงพ่อพร ภิรมย์ มาตั้งแต่เด็ก “ดาวลูกไก่” (แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓) เป็นเพลงราชนิเกลิงแบบลิเกที่พ่อเปิดเทปคาสเซทฟังซ้ำนับร้อยหน ทำให้ผมซึมซับลีลาการร้องท่วงทำนองและเนื้อหาเพลงไปโดยอัตโนมัติ บางครั้งแอบปาดน้ำตาเพราะซึ้งในความกตัญญูรู้คุณของเจ้าแม่ไก่ บางทีเด็กชายตัวน้อยต้องย่องไปนับว่าแม่ไก่คลอกใหม่มีลูกเจ็ดตัวเหมือนอย่างในเพลงหรือเปล่า? ยิ่งถ้าคืนไหนที่ฟ้าโปร่งก็จะจ้องมองว่า กลุ่มดาวลูกไก่อยู่ตรงไหนของขอบฟ้า?
โอ้ชีวิตคิดไฉน ว่าใครหนอใครลิขิต ประกาศิตของศิวะ หรือของพระพรหมเจ้า
ว่าต่างกำเนิดเกิดมา พอลืมตามองโลก บ้างมีโชคบ้างอับโชค มีสุขโศกปนเศร้า
จอมนราพิสุทธ์ ท่านสอนพุทธบริษัท เป็นธรรมะปรมัตถ์ อ้างถึงอำนาจกรรมเก่า
ว่ากุสะลาธรรมา มนุษย์เกิดมามีสุข อกุสะลาพาให้ทุกข์ ดังไฟที่ลุกรุมเร้า
บ้างกึ่งดีกึ่งชั่ว เพราะตัวของตัวมัววุ่น สร้างทั้งบุญทั้งบาป เหมือนคำที่ฉาบด้วยขาว
ผมมิใช่บัณฑิต อันมีจิตสิเหน่หา ที่จะเป็นนักเทศนา มาเจรจายั่วเย้า
จึงตั้งศรัทธาสาทก เรื่องยาจกยากจน มีตากับยายสองคน ปลูกบ้านอยู่บนเชิงเขา
แกเลี้ยงแม่ไก่อู มีลูกอยู่เจ็ดตัว เช้าก็ออกริมรั้ว จิกกินเม็ดถั่วเม็ดข้าว
เวลามีเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบ นังแม่ก็โอบปีกอุ้ม กางสองปีกออกคลุม พาลูกทั้งกลุ่มเข้าเล้า
แม่ไก่จะปลอบขวัญลูก เสียงกุ๊กกุ๊กปลุกขวัญ ลูกตอบเจี๊ยบเจี๊ยบดังลั่น ทั้งทั้งที่ขวัญเขย่า
แล้วเขี่ยข้าวออกเผื่อ ต่างคุ้ยเหยื่อออกให้ ลูกไก่แม่ไก่ไร้ทุกข์ ซิไม่มีสุขใดเท่า
ถึงคราวจะสิ้นชีวิต เมื่ออาทิตย์อัสดง ยังมีภิกษุหนึ่งองค์ เดินออกจากตรงชายเขา
ธุดงค์เดี่ยวด้นดั้น เห็นสายัณห์สมัย หยุดกางกรดพลางทันใด หลังบ้านตายายผู้เฒ่า
อยากรู้เรื่องต่อก็ต้อง เปิดหน้าสองฟังเอา
พระธุดงค์ลงกรด ตะวันก็หมดแสงส่อง อาศัยโคมทองจันทรา ที่ลอยขึ้นมายอดเขา
ฝ่ายว่าสองยายตา เกิดศรัทธาสงสาร พระผู้ภิกขาจาร จะขาดอาหารมื้อเช้า
ดงกันดารย่านนี้ หรือก็ไม่มีบ้านอื่น ข้าวจะกล้ำน้ำจะกลืน จะมีใครยื่นให้เล่า
พวกฟักแฟงแตงกวา ของเราก็มาตายหมด นึกสงสารพระจะอด ทั้งสองกำสลดโศรกเศร้า
สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย นี่แน่ะยายเอ๋ยตอนแจ้ง ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ฝ่ายยายไม่แย้งตาเฒ่า
ส่วนแม่ไก่ได้ยิน น้ำตารินหลั่งไหล ครั้นจะรีบหนีไป คงต้องตายเปล่าเปล่า
อนิจจาแม่ไก่ ยังมีน้ำใจรู้คุณ ที่ยายตาการุณ คิดแทนคุณเม็ดข้าว
น้ำตาไหลเรียกลูก เข้ามาซุกซอกอก น้ำตาแแม่ไก่ไหลตก ในหัวอกปวดร้าว
อ้าปากออกบอกลูก แม่ต้องถูกตาเชือด คอยดูนะเลือดแม่ไหล พรุ่งนี้ต้องตายจากเจ้า
มาเถิดลูกมาซุกอก ให้แม่กกก่อนตาย แม่ขอกกเป็นครั้งสุดท้าย แม่ต้องตายตอนเช้า
อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าขัดแย้งเหยียดหยัน จงรู้จักรักกัน อย่าผลุนผลันสะเพร่า
เจ้าตัวใหญ่สายสวาท อย่าเกรี้ยวกราดน้องๆ จงปกครองดูแล ให้เหมือนดังแม่เลี้ยงเจ้า
น่าสงสารแม่ไก่ น้ำตาไหลสอนลูก เช้าก็ถูกตาเชือด ต้องหลั่งเลือดนองเล้า
ส่วนลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงใจ พากันโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ดังกล่าว
ด้วยอานิสงส์ใจประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นดาว






แหล่อีโรติก...ฉิมพลีพิมานมาศ สุดสวาทนาถกากี...
พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อยผมก็ไปเรียนมโหรีปี่พาทย์ ได้ติดตามครูไปออกงานบวช ก็ต้องเล่นระนาดฯเพลงรับร้องหมอทำขวัญ เห่ฉิมพลี (แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓) เป็นเพลงยอดฮิตสำหรับโชว์คั่นเวลาที่หมอทำขวัญต้องร้องได้ ไม่อย่างนั้นมีหวังอดรางวัลจากเจ้าภาพ ซึ่งมักจะเรียกเงินได้มากกว่าค่าตามหมอตำแยและตอนเบ่งท้องคลอดลูกเสียอีก
เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยถึงได้รู้ว่า “ฉิมพลี” เป็นฉากหนึ่งใน บทเห่เรื่องกากี ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์(เจ้าฟ้ากุ้ง)
บทสังวาส
สองสุขสองสังวาส แสนสุดสวาทสองสู่สม
สองสนิทนิทรารมณ์ กลมเกลียวชู้สู่สมสอง
แย้มยิ้มพริ้มพรักตรา สาภิรมย์สมจิตปอง
แสนสนุกสุขสมพอง ในห้องแก้วแพรวพรรณราย
ลมพัดกลัดเมฆเกลื่อน ฟ้าลั่นเลื่อนแลบแสงพราย
วลาหกตกโปรยปราย สายสินธุ์นองท้องธารา
เหราร่าเริงรื่น ว่ายเคล้าคลื่นหื่นหรรษา
สองสมกลมกรีฑา เปนผาสุขทุกนิรันดร์ ฯ
ส่วนท่วงทำนองเป็นเห่จากเพลงเต่าเห่ผสมแหล่ที่เป็นแบบฉบับของ พร ภิรมย์ ที่ลงตัวมาก ส่วนเนื้อเพลงเป็นบทอัศจรรย์ ที่ใช้ธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์แทนการแสดงพฤติกรรมทางเพศ เขียนให้เข้าใจง่ายๆก็คือ “บทร่วมเพศ” หรือ อีโรติก [Erotic] นั่นเอง ซึ่งน่าจะเป็นเพลงเดียวแบบจัดเต็มที่ท่าน(พร ภิรมย์) เขียนไว้ลายอย่างชัดแจ้งให้ประจักษ์ชั้นเชิง ว่าเพลงดี ไม่ต้องมีคำสองแง่สองง่ามโจ่งครึมก็ได้ “เด็กฟังได้ ผู้ใหญ่ฟังดี” ไม่มีเซ็นเซอร์ [Sensor]
“ฉิมพลีพิมานมาศ สุดสวาทนาถกากี เวนไตยให้ยินดี ปรีดาแนบแอบนางชม
สองสุขสองสวาท แสงโสมสาดแสนสุขสม สองสนิทสองชิดชม สองภิรมย์สมฤดี
นบแนบนวลนางนอน กางสองกรโอบกากี ชื่นชีวันขวัญชีวี แนบฉิมพลีหลับไม่ลง
สะท้านชานไกรลาศ พิศวาสประหลาดหลง พระสุเมรุค่อยเอนลง ทอดยอดตรงหิมพานต์
นาคีสีพันดร เริงสาครกระฉอกฉาน กระเทือนถึงบาดาล แผ่พังพานเข้าถ้ำไป
ราหูจับจันทรา สู้ฤทธิ์ราหูไม่ไหว ราหูอมสมฤทัย ไม่ยอมให้พระจันทร์จร
อสุนีบาดฟาดสายฟ้า ต้องภูผาหน้าสิงขร ราหูอายคลายจันทร สุดอาวรณ์อาลัยจันทร์
นาคีเริงสาคร กล่อมใจตัว กลัวสุบรรณ แผลงฤทธิ์พ่นพิษหลับ หนีสุบรรณเข้าฉิมพลี”






พบศิลปินในดวงใจ พร ภิรมย์ ครั้งแรก
พ.ศ.๒๕๓๕ ได้พบหลวงพ่อพร ภิรมย์เป็นครั้งแรก ในงานมุทิตาจิต ครูจำเนียร ศรีไทยพันธุ์ อายุครบ ๗๒ ปีผมได้มีโอกาสพูดคุยและดูแล นิมนต์ท่านไปนั่งพักผ่อนในเรือนไทยจุฬาฯ ท่านยังดู แข็งแรงเดินเหิรกระฉับกระเฉง น้ำเสียงเวลาพูดคุยนุ่มนวลแต่ดังก้องกังวาลดุจราชสีห์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักร้อง นักพูดคุณภาพที่ดูแลสุขภาพรักษาเสียงตัวเองอย่างดีตลอดเวลา เนื้อเสียงฟังดูแทบไม่แตกต่างจากเสียงร้องที่ผมได้ยินจากเทปตอนเด็กๆ “ผมเปิดตัวคุยกับท่านก่อนว่า “..ชอบฟังเพลงแหล่ของหลวงพ่อมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อผมที่มีชื่อเหมือนกับหลวงพ่อ(บุญสม) จะเปิดเทปแหล่ฟังซ้ำทุกวัน..”

สิ่งสำคัญที่เป็นเหมือนจิกซอลให้ผมต่อเรื่องราวติดอีกหนึ่งชิ้น และเป็นคำตอบสำคัญว่า ทำไม? ดนตรีประกอบแหล่ของพร ภิรมย์ จึงไพเราะจับใจ..ก็เพราะท่านได้เพื่อนนักดนตรีฝีมือเยี่ยมยอดชั้นครู อาทิ ครูบุญยงค์ – ครูบุญยัง เกตุคง, ครูจำเนียร ศรีไทยพันธุ์ เป็นต้น ซึ่งต่อมาล้วนได้รับคัดเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติทั้งสิ้น มาช่วยคิด ช่วยเล่นดนตรีเกือบทุกอัลบั้ม อย่างกับที่ ครูจำเนียร ศรีไทยพันธุ์ได้ให้สมัภาษณ์ไว้ในหนังสือ ลมไม่รู้โรย หน้า ๘๓-๘๔ ว่า

“..รุ่นหลังที่มาทำเพลงด้วยเป็นงานเป็นการเนี่ยก็ พร ภิรมย์ ซิเยอะ เทปเพลงของ พร ภิรมย์ ที่วางขายกันนะ ฉันไปเล่นมาด้วยทั้งนั้น ไปกับวงนายยงค์นายยัง(ครูบุญยงค์ – ครูบุญยัง เกตุคง) เป็นคนซออู้ให้เขา ชุดแรกที่อัดกับพร ภิรมย์ ชุดบัวตูม บัวบานอะไรเนี่ย แล้วก็มาดาวลูกไก่ สีซออู้ทั้งนั้น วงที่ไปเล่นกับเขานี่ มีทั้งวงปี่พาทย์ทั้งวงอะไร จีนด้วย มีตั๋งโต๊ะ เตียวเสี้ยนพร ภิรมย์เขาก็ร้องทางจีน มีครูบุญยงค์ตีขิม ครูบุญยังสีซอ ก็ไปเป่าขลุ่ยด้วย...พร ภิรมย์ นี่เขาแต่งเพลงเอง เนื้อร้องเอง กลอนเอง แต่ทำนองเขาก็เอาใครมั่งมากลายแปลงๆ ที่เห็นก็เอากลอน(เพลง)จากครูบุญยงค์นั่นแหละ แต่ว่าบางทีก็เอาไปแยก ทีเวลาพวกเพลงแหล่เพลงด้น พวกนั้นเวลาด้นกลางๆ แหล่อะไรอย่างเนี๊ย ครูบุญยงค์ก็จะแต่ง แล้วพร ภิรมย์คั่น ทีนี้ก็ร้องต่อไป แล้วซอก็เคล้าไป หลักเล่นซอเคล้าแหล่ นี่เราร้องได้อยู่แล้วพอเขาขึ้นกลอนไหน เรารู้ว่าเป็นกลอนนั้น เราก็ดักถูก..
(ถาม : ปรกติการแหล่ เขาจะต้องมีซออู้คลออยู่เสมอหรือเปล่า?) ไม่ แต่ก่อนนั้นมันไม่มีมานะ แต่สมัยพร ภิรมย์ถึงได้ทีซอมาเคล้าแหล่ เพราะว่าทำนองกลอนนี่มันให้ พอขึ้นปุ๊บนี่เราก็จะรู้ว่าจะไปลงลูกไหน เขาขึ้นสำเนียงอย่างนี้นะ ไปอย่างนี้อย่างนี้ ต้องไปลงลูกนี้จบลูกนี้แล้ว ไปลงลูกนี้เราก็เคล้าถูก เรารู้ทาง เราร้องได้เหมือนกันอยู่แหละเนี่ย...”






อีกสิบหกปีต่อมาได้พบ พร ภิรมย์ ครั้งที่สอง
๒๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๑ สิบหกปีให้หลังผมก็ได้พบหลวงพ่อพร ภิรมย์ อีกครั้งคราวนี้ได้ฟังท่านเทศนาในงานมุทิตาจิต ๘๐ ปี แม่จิตต์ - ครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต ศิลปินแห่งชาติ ที่ผมจำวันเดือนแม่นยำเพราะตรงกับวันเกิดผมพอดีวันนั้นผมทำหน้าที่ดำเนินการเสวนาหัวข้อ “ดนตรีไทย จากบ้านใหญ่ดุริยประณีต”
แล้วหลวงพ่อพร ภิรมย์ มีความเกี่ยวข้องผูกพันธ์อะไรกับบ้านดุริยประณีต บางลำพู ?

ท่านได้มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ครูเหนี่ยว ดุริยะพันธุ์ ครูร้องคนสำคัญแห่งบ้านบางลำพู ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ท่านสร้างสรรค์ผลงานเพลงไทยผสมแหล่ที่มีรสชาดลงตัว และเพลงชุดสามก๊ก ในเวลาต่อมา จึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรื่องรับร้องเพลงไทย ท่านจึงมีภูมิความรู้ ฐานแน่นขนาดนั้น นอกจากมีเพื่อนนักดนตรีที่เก่งกาจแล้ว ยังเสาะแสวงหาฝากตัวเป็นศิษย์ครูดีฝีมือชั้นเลิศด้วยนั่นเอง





พบ พร ภิรมย์ ครั้งที่สาม ที่อยุธยา
๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ผม(คมสันต์ สุทนต์),อาจารย์อานันท์ นาคคง, อาจารย์อัษฏาวุธ สาคริก ฯ เดินทางไปนมัสการเยี่ยมเยียนพูดคุยกับหลวงพ่อพร ภิรมย์ ที่วัดจีน-รัตนชัย อยุธยา เพื่อขออนุญาต นำเสนอผลงานท่าน ในรายการไทยโชว์ ตั้งใจว่าจะใช้ชื่อตอน “แหล่ธรรมมะ (พระ)พร ภิรมย์” ท่านก็เมตตาอนุญาตให้นำเสนอได้ ซึ่งต้องกลับมาทำการบ้านอย่างหนักและยาวนาน เพราะผลงานเพลงของท่านเยอะมาก เพลงแหล่พอค้นลึกๆยิ่งมีจำนวนมาหลากหลายรูปแบบ จนในที่สุดก็ไม่ทันกาล เพราะท่านได้จากไปเสียก่อน
ผลงานของแหล่ของท่านบางส่วนที่ผมอยากเลือกนำเสนอก็จะมี องคุลีมาล, วังแม่ลูกอ่อน, ดาวจระเข้,เศรษฐีอนาถา, นกกระจาบ, ลูกเมื่อ 25 น., พ่อกับแม่, ใจพ่อใจแม่, ลูกโจรเปลี่ยนใจ, รักเดียวใจเดียว, แหล่ใจโจร, กระต่ายตื่นตูม, วัวกับกบ, ริมไกรลาศ, ชมดง ฯลฯ







แหล่องคุลีมาล จอมโจรกลับใจ

องคุลีมาล (แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒) เป็นแหล่ที่ส่วนตัวผมชอบมากที่สุด เพราะท่านต้องใช้ความเพียรพยายามอุตสาหะ ใน การแต่งเนื้อร้องถึง 20 ตอน เริ่มจาก ปุโรหิตาจารย์, ใต้ดาวโจร, ปเสนทิโกศล, ทารกไร้เดียงสา, อหิงสกะกุมาร, ฝืนดวง, ลาแม่, สอนลูก, สู่ตักกะศิลา, กำนลครู, อหิงสกะดวงเด่น, อหิงสกะดวงดับ, ครูหูเบา, วิษณุมนต์, น้ำตาแม่, มาลัยนิ้วมนุษย์, ผู้ปราบโจร, ธรรมานุภาพ, มาลัยกิเลส และองคุลิมาล
ทำให้ผมเดาทางได้ว่าท่านจะร้องด้นก่อนจดบันทึก ทำให้งานออกมาไหลลื่นและฉับไวมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่บุคคลธรรมดายากที่จะทำได้นอกจากอัจฉริยะ แต่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มีความอดทนสูงด้วยไม่อย่างนั้นงานไม่สำเร็จ ยิ่งถ้าเป็นแหล่สดร้องต่อเนื่อง 20 ตอน กินเวลาเป็นชั่วโมง ถ้าเนื้อหาไม่สนุก เข้าใจง่าย คงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อทั้งคนแหล่และคนฟัง
แต่สำหรับแหล่ องคุลีมาล ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้ามกลับสนุกเร้าใจ ทั้งเนื้อหายึดในพุทธประวัติ พระสุตันตปิฎกฯ ไม่หลุดแก่น แทรกวิถีชีวิตแนวคิดความเชื่ออย่างไทยไว้เช่น
“เรือนสามน้ำสี่” ตอนใต้ดาวโจร ที่พรามณ์มันตาคูปุโรหิตผู้เป็นสามีชื่นชมมันตานีว่าเป็นศรีภรรยานั้นดีไม่มีที่ติ
“นางถือพรหมสมเป็นพราหมณ์ รู้เรือนสามและน้ำสี่ ความชั่วใดไม่เคยมี สมเป็นศรีภริยา..”
“ลิงยังสอนได้” ตอนทารกไร้เดียงสา ที่ปัสเสนทิโกศลพระราชาตรัสให้กำลังใจพราหมณ์ปุโรหิต ผู้เป็นพ่อของ อหิงสกะว่า ลิงคนยังสอนให้เล่นละครลิงได้นับประสาอะไรกับเด็กตัวเล็กๆ ถ้าเลี้ยงดูเขาให้เป็นคนดีตั้งแต่แรก โตขึ้นเขาจะไปเป็นโจรได้อย่างไร?
“...กล่อมดวงใจฝืนดวงโจร ย่อมอ่อนโยนดัดสันดาร ให้รู้กรรมธรรมการ ช่วยกันแก้แลกล่อมเกลา ให้รู้บาปให้รู้บุญ โทษและคุณอบรมเขา แม้แต่ลิงคนยังเอา มาฝึกสอนละครลิงฯ”

“อย่าขายชาติ” ตอนสอนลูก นางพราหมณ์มันตานีผู้เป็นแม่ได้สอนสั่งลูกอหิงสกะก่อนลาไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ว่า

“.......ลูกจงจำคำแม่สอน หมั่นสังวร เอาไว้ว่า... รักษาชาติและแดนดิน อย่าเป็นทาสเอาชาติขาย รักษาบุญจงหลีกบาป อย่าทำหยาบอย่าทำคาย รักความสุขสนุกสบาย ต้องสร้างผลกุศลทาน..”

สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประพันธ์มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นและเจตนาทรอดแทรกเข้าไปในเรื่องราวชาดก เพื่อสะกิดเตือนใจคนฟังแหล่ให้เกิดความรักหวงแหนประเทศชาติ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาถึงผลงานมหากาพย์ชิ้นสำคัญของท่าน นั่นคือ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช”
ส่วนลีลาการแหล่ ยิ่งใกล้จบท่านยิ่งโชว์เสียงร้องลายครู ลากหลบลอยลมเอื้อนขึ้นสูงดึงอารมณ์คนฟังให้เคลิบเคลิ้มสะเทิ้มใจไปกับเรื่องราวก่อนที่องคุลีมาลจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
ทำไมท่านเลือกแต่งแหล่เรื่ององคุลีมาล? ถ้าตอบกันแบบตรงๆ ก็เพราะว่าความชอบ แต่เป็นความชอบที่ท่านต้องทำการบ้านอย่างหนักเช่นกัน อย่างน้อยต้องอ่านทบทวน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ซึ่งท่านได้อ้างไว้ในเนื้อร้อง “เรื่องสาวกวิสุทธิสงฆ์ เริ่มจากองค์อรหันต์ทั้งหลาย สังคายนาอย่างแยบคาย ในพระวินัยและพระสุตตัน” แล้วต้องนำมาแบ่งช่วงแบ่งตอนใหม่ เพื่อสะดวกในการเล่าเรื่องและในการสร้างดนตรีรับร้อง โดยเนื้อร้องท่านเลือกที่จะจบช่วงสำคัญที่สุด คือองคุลีมาลเจอพระพุทธเจ้าแล้วฟังเทศนาเสร็จสำเร็จพระอรหันต์ ทั้งที่ในพระไตรปิฎกฯ ยังมีต่อไปอีกกล่าวถึง อดีตชาติขององคุลีมาล บุพพกรรมของท่านองคุลีมาล ซึ่งผมมองเป็นแง่ดีว่าเป็นการเว้นวรรค ให้คนฟังที่สนใจได้ไปศึกษาต่อด้วยตนเอง

เมื่อผมได้ค้นคว้าวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่ององคุลีมาล เพื่อต่อยอดความรู้จากแหล่ของท่าน ก็พบว่ามีเรื่องราวของอุงคุลีมาลมีอยู่ใน นวนิยายสากล กามนิต (วาสิฏฐี) ตอนที่ ๙ ใต้ดาวโจร, ในพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ), องฺคุลิมาลปริตฺตํ (คาถาคลอดบุตรง่าย) และ พระคาถาชินบัญชร นั่นหมายความว่า เรืององคุลีมาล ที่ท่านหยิบมาเล่าแบบแหล่ เป็นที่นิยมทั้งระดับสากลและระดับพื้นบ้าน เป็นเรื่องราวที่ร่วมสมัย เพราะถ้าพูดถึง “โจรกลับใจ”อย่างองคุลีมาล ทุกวันนี้แม้จะนานๆครั้งก็ยังมีให้เห็นอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์

บทความของ อาจารย์เจนภพ จบกระบวนวรรณ ในคอลัมน์ข้าวเกรียบลูกทุ่ง (http://www.siamdara.com) น่าจะช่วยตอกย้ำให้ แหล่องคุลีมาล ดูมีคุณค่ามากทวีคูณ
“...สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันถึงความใส่ใจในเรื่องทางศาสนาของ พร ภิรมย์ คือความพยายามที่จะถ่ายทอดเนื้อหาสาระเรื่องราวของพุทธประวัติของพระพุทธองค์ ซึ่งได้ใช้ความสามารถอย่างเอกอุ ด้วยเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถ่ายทอดได้ลงตัว แต่ พร ภิรมย์ ทำได้และงดงามอย่างยิ่ง ครบถ้วนทั้งเนื้อหาและแพรวพราวด้วยภาษา เพลงอย่าง ดาวม้า ที่หยิบเอาเรื่องของ กัณฐกะ ม้าทรงที่ได้จุติในวิมานจนกลายเป็น กัณฐกเทพบุตร ท่านก็เอามาดัดแปลงเป็น ดาวม้า เพลงอย่าง จองเปรียง, ดาวลูกไก่, ตำนานพระพุทธบาท, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ องคุลิมาล ล้วนแต่เป็นเพลงที่สรรเสริญและแสดงความเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น
เพลง องคุลิมาล เป็นเพลงที่ พร ภิรมย์ หยิบเอาเรื่องของพุทธสาวกมาบรรยายอย่างละเอียดยิบเป็นงานเพลงชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งที่น่าเผยแพร่ให้กว้างขวางอย่างยิ่ง เพลงนี้เปรียบเสมือนเพชรที่อยู่ในตมแท้ๆ เพราะแทบจะไม่มีใครพูดถึงและนำมาเผยแพร่เท่าที่ควร อาจจะไปยึดติดที่ความยาว เพราะเพลงนี้มีถึง 20 ตอน ใครหน้าไหนจะกล้าเอาไปเปิดเผยแพร่ในรายการวิทยุ จึงเป็นอุปสรรคทำให้เพลงดีๆ เพลงนี้ไม่มีคนรู้จัก ทั้งๆ ที่ป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบมากๆ
องคุลิมาล เป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี สมัยเด็กๆ ผมก็เคยได้ดูเมื่อตอนเป็น ภาพยนตร์อินเดีย ดูแล้วก็ยังจำฝังใจมาได้จนถึงปัจจุบัน ภาพยนตร์ไทยเองก็ดูเหมือนจะเคยสร้างมาแล้ว ละครโทรทัศน์ไม่แน่ใจว่าเคยหยิบเอามาสร้างหรือไม่ แต่หนังสือการ์ตูนเคยมีวาดเผยแพร่
เรื่องขององคุลิมาลจึงไม่ได้ห่างไกลจากวิถีชีวิตชาวไทยพุทธเลย เป็นเรื่องราวที่ปรากฏในพระสูตรหรือพระธรรมเทศนานั่นเอง สมัยก่อนพระท่านมักชอบหยิบเอามาเทศน์โปรดสัตว์บ่อยๆ เราจึงได้ยินและจำได้มาตลอด อยู่ในพระไตรปิฏก เรียกว่า องคุลิมาลสูตรเป็นพระสูตร 1 ใน 50 ของมัชฌิมนิกายมูลปัณณาสน์สุตตันตปิฏก เรื่องของจอมโจรโหดเหี้ยมขนาดฆ่าคนตายเป็นเบือเพียงเพื่อต้องการสะสมนิ้วมนุษย์ให้ครบพัน แต่ยังกลับใจซึ้งในพระธรรมจนยอมบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด.............
ทั้งหมดนี้เป็นอัจฉริยะเฉพาะตัวของ พร ภิรมย์ ท่านเรียบเรียงเองแยกตอนเอง ไม่ได้ลอกใคร ภาษาที่ใช้ต่อให้บัณฑิตอักษรศาสตร์ยังทำไม่ได้”



โศกนาฏกรรมตำนาน “วังแม่ลูกอ่อน”

แหล่วังแม่ลูกอ่อน เป็นการหยิบยกเรื่องราวตำนานพื้นบ้าน ที่ให้แนวคิดเกี่ยวกับการประพฤติตนผิดประเพณี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ชิงสุกก่อนห่าม ผลสุดท้ายก็ทนความลำบากไม่ไหว หวังกลับบ้านไปพึ่งพ่อแม่แต่ต้องพบโศกนาฏกรรมอย่างใหญ่หลวง ต้องเสียทั้งลูกสองคนและสามี สุดท้ายตัวเองก็ต้องเสียชีวิตด้วย วังแม่ลูกอ่อน ปัจจุบันอยู่ริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณหมู่ที่ ๔ ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท


ช่วงที่ท่านแหล่แล้วสร้างอารมณ์สะทือนใจอย่างหนักหน่วงจนคนฟังกลั่นน้ำตาไม่อยู่จะค่อยๆเริ่มตรง
“..ฝ่ายเจ้าผัวรึก็เซ่อเซ่อ กระเบอะกระเบ้อทะเร่อทะร่า งกงกเงิ่นเงิ่นออกเดินหายา อนิจจาถูกงูกัดตาย...”
ไปจนจบแหล่
“นางเห็นลูกชายตายอย่างสิ้นหวัง เลยจมสิ้นใจกับลูกใต้วนวัง เดี่ยวนี้ชื่อยังอยู่ริมฝั่งเจ้าพระยา”




นิทานโบราณธงกฐิน “ดาวจระเข้”

ถ้าจะฟังแหล่ดาวจระเข้แล้วได้บรรยากาศถึงใจ น่าจะต้องลองฟังช่วงทอดกฐิน เพราะเป็นแหล่นิทานที่เล่าเรื่องที่มาของธงกฐินรูปจระเข้ กล่าวถึงเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นคนขี้เหนียวมากๆ ไม่เคยคิดทำบุญสร้างกุศล

“..กล่าวถึงเศรษฐีผู้มีหลักฐาน ครองศฤงคารหลักฐานถาวร แต่ไม่สละมัจฉริยะ โลโภลาภะไม่ผละผันผ่อน โลภลาภแรงฤทธิ์ไม่คิดตัดรอน ใจเกิดนิวรณ์เดือดร้อนวุ่นวาย..”

นำสมบัติไปฝังไว้ที่หัวสะพานหน้าบ้าน ครั้นตายลงก็เลยต้องมาเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติของตัวเองอยู่ที่หัวตะพาน ได้รับความทุกขเวทนาอดอยากปากแห้ง จึงไปเข้าฝันภรรยา ให้มาขุดสมบัติไปทำบุญกุศล ภรรยาจึงจัดให้มีการทอดกฐินขึ้น จระเข้เศรษฐีนั้นก็บังเกิดความยินดี ว่ายตามขบวนเรือแห่องค์กฐินไป แต่ยังไม่ทันถึงวัดก็หมดแรงไปต่อไม่ไหว จึงบอกภรรยาให้วาดรูปจระเข้ใส่ในธงไปแทน อานิสงค์ผลบุญกฐินยิ่งใหญ่ทำให้เมื่อจระเข้ตาย ได้ไปเกิดเป็นดาวจระเข้..

“กุมภาผัวว่ายผันผวน ตามขบวนแห่ไปไม่ไหว สุดเหนื่อยเมื่อยเพลียสั่งเมียทันใด จงวาดรูปไปเป็นองค์ประทาน ร่วมตลอดเรื่องทอดกฐิน เมียกรวดน้ำรินแผ่บุญประสาน ขอให้ผัวตนได้ผลบุญทาน พ้นทรมานจากบาปนานา เดชะกุศลผลบุญกฐิน บันดาลกุมภิลผู้ภัสดา ไปเป็นดาวจระเข้ พ้นเวทนา อยู่บนเวหาทุกราตรีเอย”

เชื่อมโยงไปได้อีกว่า การทอดกฐินสมัยโบราณเป็นงานใหญ่ ต้องเตรียมงานกันทั้งคืน พอเช้ามืดเห็นดาวจระเข้(กลุ่มดาวจรเข้หรือดาวหมีใหญ่ : Ursa Major) ขึ้นชัดถือว่าเป็นฤกษ์ดี เขาก็เคลื่อนองค์กฐินไปกันทางเรือ พอไปถึงวัดก็สว่างพอดิบพอดี ต่อมาจึงมีผู้คิดทำธงจรเข้คาบดอกบัวประดับองค์กฐินให้สวยงามรวมทั้งประดับบริเวณวัดเป็นเครื่องหมายว่าวัดนี้มีผู้จองกฐินหรือทอดกฐินแล้ว




เศรษฐีอนาถา ธรรมะขั้นปรมัตถ์

เรื่องราวแหล่เศรษฐีอนาถาเล่าถึง ลูกชายเศรษฐีที่แสนโชคดีพ่อแม่เสียชีวิตก็ได้รับมรดกมากล้น แต่ด้วยไม่รู้จักใช้ทรัพย์ในทางที่ถูกที่ควร คบเพื่อนชั่ว สำมะเลเทเมา ท้ายสุดชีวิตก็ต้องกลายเป็นขอทาน นับเป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่แสดงความเอกอุของท่าน(พระพร ภิรมย์) ไว้อย่างแจ่มแจ้ง ด้วยเนื้อหาแหล่ที่หยิบนิทานคถา มาเล่าแบบชาวบ้านฟังง่ายเข้าใจสบาย แต่อาจไม่ธรรมดาหากผู้ฟังมีฐานความรู้ธรรมมะหรือเป็นนักปราชญ์จะต้องนำบทกลอนของท่านไปขบคิดไตร่ตรองให้ปัญญาแตกฉาน ..บางครั้งท่านหยิบเอาคำพระภาษาบาลี-สันสฤตมาขยายแปลไทยให้เข้าใจความหมาย แต่ในบางทีท่านเลี่ยงใช้สุภาษิตหรือภาษาไทยง่ายๆไม่ต้องแปลความกันให้เสียเวลา หากมองในแง่ของมุตโต หรือด้นกลอนแหล่แล้วถือว่าชั้นเชิงแพรวพราวมาก จะเลือกหยิบอะไรมาใส่ก็ได้ดังใจเพราะแม่นทั้งภาษาพระและภาษาชาวบ้าน ดังที่จะหยิบธรรมะบางส่วนมาตีความเพื่อให้ผู้อ่านได้ร่วมอัศจรรย์ใจในความเป็นอัจฉริยะของท่าน

“ท่านผู้ฟังจงนั่งนานๆ ฟังเสียงกล่าวขานนิทานกถา พระปรมัตถ์ตรัสสอนว่า คนเราเกิดมาก็เพราะกรรม ว่ากุศลาธรรมา
มนุษย์เกิดมาโดยอุปถัมภ์ ไม่ต้องลำบากและตรากตรำ เช้ายันค่ำฉ่ำชื่นใจ อกุศลาธรรมา ยามเกิดมาก็ยากไร้...”

พระปรมัตถ์ คือ ความหมายที่แท้จริงสูงสุด (ปรม=แท้จริง,สูงสุด กับคำว่า อัตถะ = ความหมาย,ประโยชน์)
กุศลาธรรมา คือ ธรรมอันเป็นกุศล (ศีล 5-สมาธิ-ปัญญา นำให้ไปเกิดในสุคติภพ คือโลกมนุษย์-สวรรค์-พรหมได้)
อกุศลาธรรมา คือ ธรรมอันเป็นอกุศล (ผิดศีล 5 นำให้ไปเกิดในทุคติภพ คือ สัตว์นรก-เปรต-อสุรกาย-สัตว์เดรัจฉานได้)
ซึ่งอยู่ในพระอภิธรรม ธรรมะขั้นสูง กล่าวถึงเรื่องของ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ขึ้นต้นว่า “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา...”
ส่วนคำต่อท้ายที่ท่านไม่ได้บรรจุไว้ในแหล่ที่ว่า อัพยากะตา ธัมมา หมายถึง ธรรมอันไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป เป็นกลางๆ…

“...เพราะรู้ไม่ทันสมุทัย อยากดับไฟแต่ใส่น้ำมัน อวิชชามาอุ้มโอบ หลงโกรธโลภปิดสวรรค์ หลงว่าดีตะบี้ตะบัน เพราะรู้ไม่ทันสมุทโย ดังลูกเศรษฐีมั่งมีมากมาย พ่อแม่ก่อนตายมอบหมายมากโข วัวควายช้างม้าไร่นาสาโท บ้านช่องใหญ่โตแต่กลับลืมตน เริ่มกินเหล้าแล้วเข้าบ่อน ซุกซนซอกซอนด้วยอกุศล”...
สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ อยู่ในอริยสัจ 4 ..คุ้นดีเพราะต้องท่องจำแบบทฤษฎีในวิชาศีลธรรม สมัยเรียนชั้นประถมศึกษา
อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้องแจ่มแจ้ง ในอริยสัจ คือ ไม่รู้ในทุกข์, ในเหตุเกิดทุกข์(สมุทัย), ในความดับทุกข์(นิโรธ) และในข้อปฏิบัติสำหรับดับทุกข์(มรรค) แต่คนไทยมักคุ้นและเข้าใจว่า อวิชชา เป็นเรื่องเรียนรู้เกี่ยวกับไสยศาสตร์
โลภ โกรธ หลง เป็นมูลรากที่เรียกกันว่า อกุศลมูล เมื่อ ๓ อย่างนี้ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะทำให้ความชั่วอื่น ๆ ที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดมีอยู่แล้วเจริญยิ่งขึ้น เป็นคำที่คนไทยติดปากเวลาคนอื่นคิดไม่ดีก็มักจะพูดเชิงตำหนิว่า “อย่าคิดอกุศล”

“...อเสวนา จ พาลานัง อย่าพึงตามหลังพวกอกุศล ปากอย่างใจอย่างพรางหลุมตน เพื่อนกินมากล้นเพื่อนตายไม่มี...”


อเสวนา จ พาลานัง ไม่คบคนพาล อยู่ในมงคลชีวิต 38 เช่นเดียวกับ...ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ควรคบบัณฑิต แต่ท่านแหล่แปลเป็นไทยแบบอัตโนมัติว่า “...คำโบราณกล่าวขานให้คิด คบบัณฑิตไม่ผิดวิถี บัณฑิตจะพาไปหาความดี...”


“...เหมือนทัพพีที่เขาเอาคน หม้อแกงจนเหยียดหักไป ไม่เคยรู้รสสักหยดเดียว เค็มมันหวานเปรี้ยวจะเป็นไฉน เพราะอวิชชาติดหนานอกใน บังตาบังใจให้หลงเลือน…”

ช่วงแหล่ที่ว่า ทัพพีไม่รู้รสแกง เป็นช่วงสำคัญที่สุด ฟังดูเผินๆ อ่านแบบเพลินๆ นึกว่าท่านหยิบเอาเรื่องราวของชาวบ้านมาเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องราวในอรรถกถา เรื่องพระอุทายีเถระ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕ ข้อ ๑๕

“ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติ น โส ธมฺมํ วิชานาติ ทพฺพี สูปรสํ ยถา.”
แปลไทยว่า “ถ้าคนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่ แม้จนตลอดชีวิต, เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น”




สัจจะความซื่อสัตย์ของ “นกกระจาบ”

นกกระจาบเป็นแหล่ที่ท่าน(พระพร ภิรมย์) นำเค้าโครงมาจาก ปัญญาสชาดก ตอน สรรพสิทธิชาดก เล่าถึง
ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกกระจาบนั้น ได้อาศัยอยู่กับลูกเมียในป่า วันหนึ่งนกกระจาบผัวออกไปหากินในดอกบัว จนค่ำมืด จึงถูกหุบขังไว้ในดอกบัวนั้น บังเอิญไฟไหม้ป่าและลูกนกตายในกองไฟหมด เมื่อนกกระจาบผัวกลับมาในตอนเช้า นกกระจาบเมียซึ่งบังเกิดความเสียใจด้วยเข้าใจผิด จึงตั้งสัจะอธิษฐานว่าหากเกิดมาอีกชาติหน้าจะไม่ยอมพูดกับชายใด แล้วกระโดดเข้ากองไฟ ส่วนนกกระจาบผัวก็อธิษฐานขอเกิดมาชาติต่อไปให้ได้เป็นคู่ครองกันอีก พร้อมทั้งกระโดดเข้ากองไฟตาม..นับเป็นโศกนาฏกรรมไม่แพ้แหล่ วังแม่ลูกอ่อน เลยทีเดียว


“...พ่อนกกลับชาติ ด้วยใจอาวรณ์ เป็นสรรพสิทธิ์ มิ่งมิตรกุมาร แม่นกนงคราญ เป็นสุวรรณเกสร…”


ชาติต่อมาพ่อนกก็เกิดเป็น สรรพสิทธิ์กุมาร ส่วนแม่นกเกิดมาเป็น นางสุวรรณเกสร แหล่นกกระจาบมุ่งเน้นนำเสนอเรื่อง ความซื่อสัตย์ หรือสัจจะของสามีภรรยา พ้องกับหลัก ฆราวาสธรรม หรือธรรมสำหรับผู้ครองเรือน ข้อแรก ที่ว่าด้วยเรื่องสัจจะ



“...ซื่อสัตย์ต่อกัน คงไม่เคลื่อนคลอน มนุษย์ทั้งหลาย หญิงชายโปรดทราบ ดูเยี่ยงนกกระจาบ เป็นอุทาหรณ์ ผัวเดียวเมียเดียว อย่ายุ่งเกี่ยวซอกซอน จะไม่เดือดร้อน ดวงใจเลย”






ลูกเมื่อ 25 น.(นาฬิกา) ปัญหาสังคม น.(หน้า) 1

ชื่อเพลง “ลูกเมื่อ 25 น.” เหมือนเป็นคำจำกัดความที่สร้างสรรค์ล้ำยุค เพราะเวลาทั่วไปมีแค่ 24 น.(นาฬิกา) สร้างจินตนาการให้คนฟังได้คิดต่อว่าหมายถึงเวลาเท่าไหร่กันแน่ (ใช่ ตีหนึ่งหรือเปล่า?) แล้วลูกที่ว่านั่นเป็นลูกใครกัน?

“เรื่องจริงๆ ใช่อิงนิยายอ้างข่าว ศีลธรรมเสื่อมเซาจนแทบหมดเงาจรรยา...”

เรื่องราวปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น เป็นข่าวหน้า 1 มาตั้งแต่ในอดีตนานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และไม่มีที่ท่าว่าจะลดลงได้ก็คือ เรื่องคลอดลูกแล้วทิ้ง...นับเป็นแหล่ที่ท่าน(พระพร ภิรมย์)แต่งเกาะกระแสสังคมอย่างใกล้ชิด ใช้ตัวท่านเองเป็นผู้เดินเรื่องร่วมเหตุการณ์ ว่าไปพบเด็กทารกถูกทิ้งใต้ต้นจันทน์ข้างบ้าน ใกล้ช่วงเช้ามืด เลยเก็บมาเลี้ยงเป็นลูก......

“...แต่สงสัยแท้พ่อแม่เป็นใคร เป็นคนที่ไหนใจร้ายเหลือทน ช่างทิ้งลูกได้หนอใจคน รับรองไม่พ้นอเวจี ชอบสนุกชิงสุกก่อนห่าม ชั่วครู่ชั่วยามทรามบัดสี ปล่อยใจกระเจิงเหลิงโลกีย์ ให้คิดให้ดีตามใจตน โลกนี้อาบใจหยาบคาย สิ้นความอายอกุศล...”
เนื้อหาแหล่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องคติธรรมมะสอนใจให้คนฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชิงสุกก่อนห่าม คลอดลูกแล้วทิ้ง ...และมาปิดท้ายแหล่คลายเครียดด้วยอารมณ์ขันว่า หมอพร (ภิรมย์) ต้องหาทุนซื้อนมเลี้ยงลูก

“...แล้วเดือดร้อนใครแม่เจ้าประคุณ คิดสั้นๆ น่าสั่นเศียร ต้องไปพึ่งหมอเพียร เวชบุลย์ หมอเพียรท่านดีเพราะมีทุน หมอพรสิคุณต้องหาทุนซื้อนม”


หมอเพียร เวชบุลย์ หรือ พญ.ดร.คุณหญิงเพียร เวชบุลย์ที่ท่านกล่าวถึงในสมัยนั้นถือว่ามีชื่อเสียงมาก คุณหมอเพียร ได้รับการขนานนามว่าเป็น “แม่พระ” แห่งสังคมไทย ชีวิตที่ต่อสู้เลือดตาแทบกระเด็น เพื่อเด็กกำพร้าและผู้ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งกุลสตรีไทย




พ่อกับแม่ แหล่ให้ลูกรู้จักกตัญญู

พ่อกับแม่ เป็นแหล่เพลงหนึ่งของท่าน(พระพร ภิรมย์) ที่หมอทำขวัญนิยมนำมาร้องขั้นเวลาทำขวัญนาค แต่จริงๆแล้วคนที่เป็นลูก สามารถฟังแหล่นี้ได้ทุกเวลา และถ้าได้(สำ)นึกตามแล้วเกิดปัญญาย่อมเกิดอานิสงค์ผลดีทุกเมื่อ

“...ถ้าเป็นลูกชายแม่หมายให้บวช พากเพียรเรียนสวดรักศาสนา รู้หลักปักมั่นกตัญญุตา ได้ห่มกาสาแทนค่าน้ำนม
ถ้าเป็นลูกสาวแม่กล่าวจัดการ ให้เป็นแม่บ้านหลักฐานเหมาะสม เรือน 3น้ำ4ประเพณีนิยมแม่รักอบรมด้วยความอาลัย...”

เนื้อของของแหล่ พ่อกับแม่ มีจุดมุ่งหมายให้ลูกทั้งหญิงชายควรรู้จักทดแทนบุญคุณกตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู ซึ่งความกตัญญูนั้น อยู่ในมงคลชีวิต 38 ข้อที่ 25 กตญฺญุตา (กะตัญญุตา) คือ กตัญญูต่อบุคคลได้แก่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เป็นต้น บุญคุณที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายๆกันไป แต่ต้องรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพ





ใจพ่อใจแม่ ลูกชั่วอย่างไรก็ตัดไม่ลง
เมื่อฟังแหล่ พ่อกับแม่ จบลงแล้วควรต่อเนื่องด้วยแหล่ “ใจพ่อใจแม่” เพราะมีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันและไม่หนีข้อธรรม เรื่องความกตัญญู กล่าวถึง พ่อแม่มีลูกชายสี่คน ทนอดทนยาก เลี้ยงดูส่งเสีย ให้ร่ำเรียนจนมีหน้าที่การงาน ครอบครัวมั่นคง

“...แต่ลืมพ่อแม่ทิ้งแกยากจน ลูกทั้งสี่คนไม่คิดถึงคุณ ลูกทั้งสี่มีความสุข พ่อแม่มีทุกข์นอนตามใต้ถุน แกต้องขอทานที่บ้านใจบุญ พอเป็นทุนเลี้ยงอาตมา…”

แต่ไม่คิดเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชราปล่อยให้ไปขอทาน ไม่มีที่ซุกหัว ท้ายสุดจะไปขอลูกพักหลบนอน ถูกลูกและลูกสะไภ้ไล่ด้วยความรังเกียจ
“...แต่พวกลูกกลับปฏิเสธ แถมไล่เฉดว่าไปให้พ้น แสร้งไม่ไยดีทั้งสี่คน กลับช่วยเมียตนไล่ขอทาน ความงันงกเลยตกบันไดถึงคอหักตายราวปาฏิหาริย์ แกเห็นลูกชายแกต้องวายปราณ สองขอทานต้องย้อนกลับมา กอดศพลูกแล้วร้องไห้ สุดเสียดายลูกหนักหนา ลูกชั่วอย่างไรก็ไม่โกรธา บิดรมารดาตัดลูกไม่ลง...”



ลูกโจรเปลี่ยนใจ ลูกไม้ที่กลายพันธุ์(ดี)


แหล่ลูกโจรเปลี่ยนใจ น่าจะเป็นแหล่ที่ 3 หลังจากที่ได้ปูพื้นฟังแหล่ พ่อกับแม่ และ ใจพ่อใจแม่ มาแล้ว
เนื้อหาท่านว่า(พระพร ภิรมย์)นำมาจากเรื่องจริง ของลูกโจรคนหนึ่งที่หลังจากพ่อถูกฆ่าตาย มีจิตคิดได้ว่า ควรเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่ว่าพ่อเป็นโจรแล้วลูกต้องเป็นโจรเสมอไป หรือลูกไม้จะกลายพันธุ์เป็นพันธุ์ดีไม่ได้เชียวหรือ จึงอยากบวชพระแทนคุณบิดามารดา

“...ส่วนลูกชายเริ่มได้คิด ถึงเรื่องชีวิตพ่อม้วยมรณ์ จึงขอล้างใจครองไตรจีวร ให้มารดรเริ่มจัดการ ซื้อผ้าไตรจีวระพร้อมอัฐบริขาร โกนหัวเข้าวัดรีบจัดการ ท่านสมภารบรรพชา สมภารพระไม่ปฏิเสธ ผู้สวดจัดเสร็จด้วยมุทิตา...”

ตามความเชื่อของชาวพุทธโดยทั่วไปแล้ว บิดามารดาก็จะได้รับผลบุญจากการบวชของลูก หากจากโลกนี้ไปวิญญาณของบิดามารดา จะได้จับชายผ้าเหลืองของลูกขึ้นสวรรค์ คล้ายกับเหตุการณ์ของลูกโจรที่เล่าผ่านแหล่นี้

“...ให้นาคยกหัตถ์ไหว้พัทธสีมา พอนาควันทาก็เกิดเหตุทันที พบผีพ่อที่คอขาด เลือดไหลสาดธรณี ขื่อคาหนามคมฝังจมกายี มองเป็นที่น่าเวทนา นาคร้องไห้ไหว้ผีพ่อ คาหนามคอที่ทรมา กลับหลุดกระเด็นกลายเป็นมาลา ให้ลูกยาแล้วพ่อหายไป
พระลูกชายพอได้เป็นพระ ก็เรียนธรรมะด้วยจิตสดใส กรณีอย่าบิดให้ผิดหลักใน กรรมฐานชงใจวิปัสสนา เดชะกุศลมหาศาล ท่านทราบในทานใจท่านหรรษา ว่าพบวิมานวิญญาณบิดา มิได้ถูกทรมาอยู่ในอบาย…”

อานิสงส์ ของการได้บวชพระมี 3 อย่างคือ 1.ตัวผู้บวชเอง 2.ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น และ
3.ตัวพระศาสนา ที่สำคัญต้องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ถึงจะได้รับผลจริง ไม่ใช่แค่บวชไปตามประเพณี หรือบวชแค่ให้พ่อแม่สบายใจเท่านั้น




แหล่ใจโจร ให้ทุกข์แก่ท่านทุกนั้นถึงโจร

เขาบอกว่าโจร อย่างไรเสียก็ย่อมเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ ไม่รู้จักบุญหรือแทนคุณผู้ใด ในแหล่ใจโจรนี้เล่าว่า แม้กระทั่งลูกสาวเศรษฐีอุตส่าช่วยเหลือพ้นโทษทัณฑ์ แถมโจรยังได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นภรรยาเสียด้วย ชาตินี้ถ้าทำดีไม่มีอด

“ลูกสาวเศรษฐีศรีโสภา เกิดเมตตาโจรอาธรรม์ ด้วยบุพเพสันนิวาส แหล่งสวาทถวิลสวรรค์ ติดสินบนโจรพ้นโทษทัณฑ์ จนได้กันโดยแรงกรรม นางรักโจรจนหมดใจ แต่โจรไพรให้เห็นขำ ด้วยสันดานอันระยำ ขาดศีลธรรมไม่รักเมีย

แต่สันดานความโลภไม่สิ้นสุด โจรจึงหลอกภรรยาไปฆ่าที่เทวาลัยเชิงหน้าผา ....
“...ลวงเมียขึ้นเทวาลัย เผลอเมื่อใดจะฆ่าเสีย เพียงชื่นชมสมบัติเมีย ทำคลอเคลียเดินเคล้าคลึง
เห็นเมียเผลอชักมีดผาง สงสารนางคาดไม่ถึง ยืนตระหนกตกตะลึง เพียงพักหนึ่งก็เกิดปัญญา”
ภรรยาบอกสามีผู้เป็นชั่วว่า ไหนๆก็จะตายแล้ว ขอร่ายรำโชว์ลีลาไว้ให้ดูเป็นอนุสรณ์…
“...นางสะอื้นสำออยอ้อน ว่าช้าก่อนเถอะผัวขา ขอร่ายรำร่ำเรียนมา เป็นขวัญตาผัวก่อนตาย โจรกักขฬะอนุญาต ให้นางนาฎเริ่มรำร่าย นางร้องรำทำลวดลาย โจรเผลอกายโดยถูกกล ถูกนางผลักตกภูผา ร่างโจราแหลกปี้ป่น ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตน จบเรื่องใจโจรคงต้องขอจร
แล้วโจรชั่วก็ถูกกำจัด บทสรุปของแหล่นี้คือ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว




จันทโครพ “รักเดียวใจเดียว”

แหล่รักเดียวใจเดียว เป็นการเล่านิทานพื้นบ้านจันทโครพ “...เปิดพระอบ พบทางโมรา” ซึ่งเรื่องยอดฮิตที่ชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดงรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือช่วงท้ายท่าน(พระพร ภิรมย์) ต่อว่าพระฤษีอาจารย์ไว้อย่างเฉียบคม น่าจะจุดประกายความคิดให้ครูบาอาจารย์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกยุคทุกสมัย

“ต้องโทษฤๅษีอวดมีฤทธิ์ เนรมิตไม่พิถันพิถี ศิษย์จะกลับโดยทันที สร้างนารีไม่ทันอบรม จึงขาดความคิด เรื่องผิดและชอบ เบี่ยงระบอบไม่เหมาะสม ชั่วดีสันดาน นั้นอยู่ที่การอบรม เช่นสังคมปัจจุบัน เยาวชนคนของชาติ โง่ฉลาดขี้เกียจขยัน อยู่ที่การอบรม บ่มใจกัน ไม่ใช่สวรรค์ จะบันดาลใคร

แล้วมาขมวดเชื่อมจบเรื่องรักเดียวใจเดียว ตามหลักฆราวาสธรรม-สัจจะ และศีลห้าอย่างแนบเนียน

“...อีกทั้งฝนตก อย่าเพิ่งเชื่อดาว ใครมีเมียสาวสาว อย่าเพิ่งไว้ใจ ถ้าเมียนอกจิตไปคิดมีชู้ เขามาบอกให้เรารู้ ไปเสียเมื่อไหร่ ผมรักเดียวใจเดียว ผมไม่เกี่ยวเมียใคร แต่ขอเตือนใจ เอาไว้หน่อยเอย”
แหล่กระต่ายตื่นตูม นิทานอีสป
แหล่กระต่ายตื่นตูม ท่าน(พระพร ภิรมย์)แต่งว่าได้มาจากเค้าโครงจากนิทานอีสป นักเล่านิทานอีสป เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริงเมื่อราวปี 620-560 ก่อน ค.ศ.หรือก่อนสมัยพุทธกาลเล็กน้อย ตัวละครในนิทานของอีสปส่วนใหญ่เป็นสัตว์สาราสัตว์ ผู้รู้หรือนักปราชญ์สันนิษฐานว่า นิทานของเขาได้เค้าโครงมากจากเรื่องเล่าเก่าๆของอินเดียบ้าง อาระเบียบ้าง หรืออาจมาจากเปอร์เซีย ของกรีกและดินแดนอื่นๆ ซึ่งเขานำมาดัดแปลงเล่าใหม่
เช่นเดียวกับเรื่องกระต่ายตื่นตูม เป็นนิทานอีสปเรื่องที่คุ้นเคยกันอย่างดีตั้งแต่สมัยเด็กที่ผู้ใหญ่เล่าว่า... ในป่าใหญ่แห่งหนึ่งฝูงสัตว์กำลังหาอาหารมีความสุขสำราญ ทันใดนั้นก็มีเสียงตูม และกระต่ายน้อยตัวหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่น มาบอกเหล่าสัตว์ว่า ฟ้าถล่มๆ ให้ทุกตัวรีบหนี สัตว์ทั้งหลายได้ฟังก็ตกใจพากันวิ่งหนีกันวุ่นวายจนมาเจอราชสีห์ แล้วราชสีห์ก็ให้กระต่ายพาไปดูที่เกิดเหตุ จึงพบว่าเสียงตูมนั้นเป็นเสียงของลูกตาลตกลงมาจากต้น…
แต่กระต่ายตื่นตูม ยังมีอยู่ในทัทธภายชาดก เล่าว่าครั้งสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภเดียรถีย์หรือนักบวชนอกศาสนา ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ซึ่งเนื้อเรื่องคล้ายคลึงกับนิทานอีสปมาก อาจเป็นเพราะช่วงเวลาและสถานที่ใกล้เคียงกัน ส่วนเรื่องจะเกิดก่อนกันจะหลังกันก็ไม่สำคัญเท่ากับบทสรุปที่ว่า อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องเชื่ออย่างมีเหตุผล

“...ลูกตาลหล่นใช่ฟ้าถล่ม อย่าโง่งมเลยสหาย จงทำใจให้สบาย อย่าเชื่อกระต่ายตื่นตูมเอย”



แหล่วัวกับกบ ให้รู้จักประมาณตน
มีแหล่ของท่าน(พระพร ภิรมย์) หลายเรื่องที่นำเนื้อหามาจากนิทานอีสป แต่จะขอยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งคือ วัวกับกบ ซึ่งให้ข้อคิดให้รู้จักประมาณตน ไม่ให้เป็นอย่างพ่อกบที่อวดเบ่งจนท้องแตก เพื่ออวดเก่งให้ลูกเห็นว่าตนเองใหญ่กว่าวัว
“...แล้วจะรู้ว่าพ่อเก่ง พ่อจะเบ่งให้ใหญ่กว่า ลูกดูไว้ให้เต็มตา พ่อใหญ่กว่ามันทุกทาง ลูกกบตอบคำพ่อ ยังไม่พอแม้กกหาง พ่อกบเกร็งเบ่งท้องตาม จนท้องเปิดระเบิดตาย ความไม่รู้จักประมาณ ย่อมถึงกาลแหลกสลาย ดุจพ่อกบจบชีพวายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์...
ช่วงท้ายของแหล่ ยังขยายความเรื่องการรู้จักประมาณตน พร้อมแทรกคติสอนใจได้อย่างคมคาย

...อันฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อีกสายน้ำอีกบาดาล ต้องใคร่ครวญคำนวณการ รู้ประมาณรู้ประมวล รู้ทั้งหนักรู้ทั้งเบา ต้องรู้เท่าอย่างถี่ถ้วน รู้การควรและไม่ควร อย่าวิ่งสวนของมีคม รู้แคบนักก็มักคับ ยากขยับจับใส่สม รู้กว้างนักก็มักจม ถมเท่าไหร่ไม่รู้พอ ฟังนิทานแนะแนวทาง ให้กระจ่างใจจดจ่อ อย่าใหญ่เพลินจนเกินพอ เหมือนกบพ่อท้องแตกเอย”




ริมไกรลาศ เรื่องของเสือกับโค


ริมไกรลาศ เป็นแหล่อีกเรื่องหนึ่งที่หยิบยกนิทานมาเล่าทรอดแทรกธรรมมะ โดยเริ่มต้นให้ผู้ฟังได้จินตนาการร่วมสร้างฉากเป็นเขาไกรลาศในป่าหิมพานต์ หรือภูเขาหิมาลัยก่อน

“ขอเริ่มเรื่องเบื้องหลัง ท่านผู้ฟังโปรดทราบ แม้วาดภาพหิมพานต์ เป็นฉากนิทานคำกลอน หิมาลัยปัจจุบัน...”
แล้วจึงเล่าเรื่องว่า มีแม่โคตัวหนึ่งไปหากินในป่าถูกแม่เสือจับได้จะกินเป็นอาหาร แม่โคเลยอ้อนวอนตั้งสัตย์ว่าขอให้กลับไปสั่งเสียลูกน้อยเสก่อนแล้วจะกลับมาให้กิน .. เสือก็ดีเชื่อในสัจจะปล่อยให้แม่โคไปร่ำลา

“...เราเป็นสัตว์มีศีล ไม่เล่นลิ้นหลอกหลอน เรามีลูกรักเหลือ เหมือนแม่เสือรักลูก คิดฝังปลูกปรานี เราต่างก็มีลูกอ่อน พยัคฆ์ใหญ่ได้ฟัง เห็นจริงจังสัจจะ เลยยอมละหันหลัง ให้โคไปสั่งลูกอ่อน...”

ลูกโคยอดกตัญญูเมื่อได้ฟังแม่โคเล่าเรื่องราวทั้งหมด ก็รับอาสาจะไปให้เสือกินแทน..แม่ก็ไม่ยอม ลูกก็ไม่ยอม เลยเดินไปหาแม่เสือพร้อมกัน

“...แม่โคถือใจสัจจะ ลูกโคก็กตัญญู วิ่งตามแม่มาสู่ ที่เสือยืนอยู่อ้อนวอน แม่เสือขาอย่าแค้น ข้าขอตายแทนแม่ข้า ข้าถือมั่นกตัญญุตา แม่เสือจงอย่าเคืองค้อน...”

แม่เสือตื้นตันใจในความกตัญญูของลูกโค และปลื้มใจในความซื่อสัตย์หรือสัจจะของแม่โค เสือโคร่งเกิดขันติความอดทนระงับยับยั้งไม่กินสัตว์ทั้งสอง โดยรวมล้วนเป็นธรรม 4 ประการได้แก่ สัจจะ ซื่อสัตย์, ทมะ ฝึกตน ข่มจิต และรักษาใจขันติ อดทน, จาคะ เสียสละ ในฆราวาสธรรม

“...แม่เสือใหญ่ได้คิด เลยหักจิตปลงตก นึกเห็นอกแม่โค ว่าโอ้โอ๋ลูกอ่อน กลับเสียเถอะคืนถิ่น เราไม่กินเจ้าแน่ ทั้งลูกแม่โคป่า เราขอลาเจ้าก่อน อานิสงส์อะไร เสือจึงไม่กินโค ใช่จะโง่ไม่กิน เสือกลับมีศีลสังวรณ์ สัตว์บางตัวกลัวบาป มนุษย์ไม่ทราบใจสัตว์ รู้จักผลัดหนักเบา ไม่เหมือนคนบางเหล่าศีลกร่อน”





กาพย์เห่เรือ “ชมไม้-ชมนก” แรงบันดาลใจก่อเกิด แหล่ “ชมดง”

กาพย์เห่เรือ “ชมไม้”
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์(เจ้าฟ้ากุ้ง)

เรือชายชมมิ่งไม้ ริมท่าไสวหลากหลายพรรณ
เพ็ดดอกออกแกมกัน ส่งกลิ่นเกลี้ยงเพียงกลิ่นสมร
ชมดวกพวงนางแย้ม บานแสล้มแย้มเกสร
คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม
จำปาหนาแน่นเนือง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคะนึงถึงนงราม ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง
ประยงค์ทรงพวงห้อย ระย้าย้อยห้องพวงกรอง
เหมือนอุบะนวลละออง เจ้าแขวนไว้ให้เรียมชม
พุดจีบกลีบแสล้ม พิกุลแกมแซมสุกรม
หอมชวยรวยตามลม เหมือนกลิ่นน้องต้องติดใจ
สาวหยุดพุทธชาด บานเกลื่อนกลาดดาษดาไป
นึกน้องกรองมาลัย วางให้พี่ที่ข้างหมอน
พิกุลบุนนาคบาน กลิ่นหอมหวานซ่านขจร
แม้นนุชสุดสายสมร เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย
เต็งแต้วแก้วกาหลง บานบุษบงส่งกลิ่นอาย
หอมอยู่ไม่รู้หาย คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู
มะลิวัลย์พันจิกจวง ดอกเป็นพวงร่วงเรณู
หอมมาน่าเอ็นดู ชูชื่นจิตคิดวนิดา
ลำดวนหวนหอมตรลบ กลิ่นอายอบสบนาสา
นึกถวิลกลิ่นบุหงา รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง
รวยรินกลิ่นรำเพย คิดพี่เคยเชยกลิ่นปราง
นั่งแนบแอบแอวบาง ห่อนแหห่างว่างเว้นวัน
ชมดวงพวงมาลี ศรีสาวภาคย์หลากหลายพรรณ
วนิดามาด้วยกัน จะอ้อนพี่ชี้ชมเชย


กาพย์เห่เรือ “ชมนก”
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์(เจ้าฟ้ากุ้ง)

เรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
เห็นฝูงยูงรำฟ้อน คิดบังอรร่อนรำกราย
สร้อยทองยิ่งเยื้องชาย เหมือนสายสวาทนาดนวยจร
สาลิกามาตามคู่ ชมกันอยู่สู่สมสมร
แต่พี่นี้อาวรณ์ ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจครวญ
นางนวลนวลน่ารัก ไม่นวลพักตร์เหมือนทรามสงวน
แก้วพี่นี้สุดนวล ดั่งนางฟ้าหน้าใยยอง
นกแก้วแจ้วแจ่มเสียง จับไม้เรียงเคียงคู่สอง
เหมือนพี่นี้ประคอง รับขวัญน้องต้องมือเบา
ไก่ฟ้ามาตัวเดียว เดินท่องเที่ยวเลี้ยวเหลี่ยมเขา
เหมือนพรากจากนงเยาว์ เปล่าใจเปลี่ยวเหลียวหานาง
แขกเต้าเคล้าคู่เคียง เรียงจับไม้ไซ้ปีกหาง
เรียมคะนึงถึงเอวบาง เคยแนบข้างร้างแรมนาน
ดุเหว่าเจ่าจับร้อง สนั่นก้องซ้องเสียงหวาน
ไพเราะเพราะกังวาน ปานเสียงน้องร้องสั่งชาย
โนรีสีปานชาด เหมือนช่างฉลาดวาดแต้มลาย
ไม่เท่าเจ้าโฉมฉาย ห่มตาดพรายกรายกรมา
สัตวาน่าเอ็นดู คอยหาคู่อยู่เอกา
เหมือนพี่ที่จากมา ครวญหาเจ้าเศร้าเสียใจ
ปักษีมีหลายพรรณ บ้างชมกันขันเพรียกไพร
ยิ่งฟังวังเวงใจ ล้วนหลายหลากมากภาษา


แหล่ชมดง นับเป็นอีกผลงานหนึ่งที่ท่าน(พระพร ภิรมย์) น่าจะได้รับแรงบันดาลใจหรืออิทธิพลมาจากกาพย์เห่เรือ “ชมไม้และชมนก” ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์(เจ้าฟ้ากุ้ง) โดยนำมาต่อยอดเชิงสร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง

ส่วนตอนท้ายได้ทรอดแทรกเรื่องของนิวรณ์ ธรรมะที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี ประกอบด้วย กามฉันทะ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบ, พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น,ถีนมิทธะ ความมีจิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม, อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและรำคาญ และวิจิกิจฉา ลังเลไม่ตกลงใจได้ ไว้กับเรื่องราวของนกกาเหว่าอย่างแนบเนียน

โลกนี้อนิจจังอย่าหวังนึกแน่ ไม่เที่ยงไม่แท้ย่อมแปรเปลี่ยนไป
กาเหว่าอดหว้าเหมือนดังข้าหมดหวัง วิมานรักพังพลาดพลั้งแพลงไพล่
ต้องใช้ธรรมะชำระบั่นรอน มิให้นิวรณ์มากร่อนจิตใจ
เหมือนข้าวหนีเคียวไม่เกี้ยวหญิงใด ไม่ขอช้ำใจเช่นกาเหว่าเอย





หลวงพ่อพร ภิรมย์เป็นแนวทางสำคัญให้กับศิลปินรุ่นใหม่ ในการสร้างสรรค์ต่อยอดผลงาน อย่างมีรากเหง้าความเป็นไทย เพราะท่านไม่ทิ้งวิธีการร้อง การแหล่แบบไทย ไม่ทิ้งการประพันธ์เรื่องราวไทยๆ พร้อมแทรกธรรมมะสาระประโยชน์ ผลงานสร้างสรรค์มากมายกว่า 600 เพลงที่ท่านทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้ต่อยอดอย่างไม่รู้จักจบ เป็นการเรียนรู้ธรรมมะอย่างย่นย่อจากศิลปินผู้มีธรรมมะ สำหรับผม หลวงพ่อพร ภิรมย์ท่านเป็น ศิลปินแห่งธรรมะ(ชาติ) นั่นแล
กำหนดการพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ และเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อพร ภิรมย์ วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม เวลา 17.00 น.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อาลัยไทยโชว์ บัวจริยา